วิถีการสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่
21
การเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียนวิชาในห้องเรียนยังเป็นการเรียนแบบสมมติ
“ดังนั้นครูเพื่อศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์”
ได้เรียนในสภาพที่ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด
ทักษะครูเพื่อศิษย์ไทยในศตวรรษที่ ๒๑
ครูเพื่อศิษย์ต้องไม่ใช่แค่มีใจ
เอาใจใส่ศิษย์เท่านั้น ยังต้องมีทักษะในการ “จุดไฟ” ในใจศิษย์ ให้รักการเรียนรู้
ให้สนุกกับการเรียนรู้
หรือให้การเรียนรู้สนุกและกระตุ้นให้อยากเรียนรู้ต่อไปตลอดชีวิตครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมาก” คือในการจัดกิจกรรมต่างๆ ของเด็ก ครูต้องตอบได้ว่า ศิษย์ได้เรียนอะไร
และเพื่อให้ศิษย์ได้เรียนสิ่งเหล่านั้น ครูต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร ในสภาพเช่นนี้
ครูยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
และท้าทายครูทุกคนอย่างที่สุดที่จะไม่ทำหน้าที่ครูผิดทางคือ
ทำให้ศิษย์เรียนไม่สนุก หรือเรียนแบบขาดทักษะสำคัญ
ศาสตราใหม่สำหรับครูเพื่อศิษย์
ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกฝนตนเองให้มีทักษะในการเป็นโค้ช และเป็น “คุณอำนวย” (facilitator) ในการเรียนรู้แบบ
PBL (Project-BasedLearning) ของศิษย์ ซึ่งผมจะเขียนรายละเอียดเรื่อง PBL ในบทต่อ
ๆ ไปขอย้ำว่าครูต้องเลิกเป็น “ผู้สอน” ผันตัวเองมาเป็นโค้ช หรือ “คุณอำนวย” ของการเรียนของศิษย์ที่ส่วนใหญ่เรียนแบบ PBL นั่นหมายถึง โรงเรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเลิกเน้นสอน
หันมาเน้นเรียน ซึ่งต้องเน้นทั้งการเรียนของศิษย์และของครู
ครูจะต้องปรับตัวมากซึ่งเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีตัวช่วย คือ Professional Learning Communities (PLC) ซึ่งก็คือ
การรวมตัวกันของครูประจำการเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำหน้าที่ครูนั่นเอง
พัฒนาสมองห้าด้าน
พลังสมอง ๕ ด้าน หรือ จริต ๕
แบบที่คนในอนาคตจะต้องมีและครูเพื่อศิษย์จะต้องหาทางออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์ได้ทั้ง
๕ ด้านนี้ ที่จริงครูสอนไม่ได้ แต่ศิษย์เรียนได้และเรียนได้ดี
หากครูใช้วิธีการที่ดีในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ศิษย์พลังสมอง ๓ ใน ๕
ด้านนี้เป็นพลังเชิงทฤษฎี หรือที่เรียก cognitivemind ได้แก่ สมองด้านวิชาและวินัย (disciplined mind) สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind) และสมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind) อีก ๒ ด้านเป็นพลังด้านมนุษย์สัมผัสมนุษย์ได้แก่ สมองด้านเคารพให้เกียรติ
(respectful mind) และสมองด้านจริยธรรม (ethical
mind)การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมอง ๕ ด้าน
ไม่ดำเนินการแบบแยกส่วนแต่เรียนรู้ทุกด้านไปพร้อม ๆ กัน
หรือที่เรียกว่าเรียนรู้แบบบูรณาการ และไม่ใช่เรียนจากการสอน
แต่ให้เด็กเรียนจากการลงมือทำเองซึ่งครูมีความสำคัญมาก
เพราะเด็กจะเรียนได้อย่างมีพลัง ครูต้องทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ และช่วยเป็น “คุณอำนวย” หรือเป็นโค้ชให้
ครูที่เก่งและเอาใจใส่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ลึกและเชื่อมโยง นี่คือ
มิติทางปัญญา
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills) นี้คือ ทักษะพื้นฐานที่มนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑
ทุกคนต้องเรียนเพราะโลกจะยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากขึ้น
คนที่อ่อนแอในทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมจะเป็นคนที่ตามโลกไม่ทัน
เป็นคนอ่อนแอ ชีวิตก็จะยากลำบาก ครูเพื่อศิษย์จึงต้องเอาใจใส่พัฒนาขีดความสามารถของตนเองในด้านนี้
ให้สามารถออกแบบการเรียนรู้เพื่อให้ศิษย์เรียนรู้และพัฒนาทักษะของตนเองในด้านการเรียนรู้และนวัตกรรมได้ตลอดชีวิต
วิธีออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์มีทักษะนี้
ใช้หลักการว่า ต้องมีการเรียนรู้แบบที่เด็กร่วมกันสร้างความรู้เองคือ
เรียนรู้โดยการสร้างความรู้ และเรียนรู้เป็นทีม
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical
thinking) เป็นทักษะสำคัญสำหรับการเป็นมนุษย์ในศตวรรษที่
๒๑ ประเด็นสำคัญสำหรับครูเพื่อศิษย์คือ
ต้องแสวงหาวิธีการออกแบบการเรียนรู้เพื่อให้ศิษย์ (ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม)
พัฒนาทักษะนี้ รวมทั้งครูก็ต้องฝึกฝนทักษะนี้ของตนเองด้วย การคิดอย่างมีวิจารณญาณต้องไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ในชั่วโมงเรียน หรือในชั้นเรียน
แต่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จนเป็นนิสัย
เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจึงจะเรียกว่ามีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การนำเอาข่าวหรือเรื่องราวในหนังสือพิมพ์มาวิเคราะห์ตั้งคำถามร่วมกันน่าจะเป็นการเรียนหรือฝึกฝนทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ง่ายและสะดวกที่สุด
แต่ครูต้องมีทักษะในการเป็นโค้ชหรือผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ เคล็ดลับคือ
ให้ชวนนักเรียนวางท่าทีไม่เชื่อข่าวนั้น หรืออย่างน้อยก็ไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด
ชักชวนกันตั้งคำถามว่า มีความไม่แม่นยำอยู่ตรงไหนบ้าง
หรือมีโอกาสที่จะบิดเบือนไปจากความจริงได้อย่างไรบ้าง
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ทักษะด้านสารสนเทศ (Information
Literacy)จะต้องมีทักษะที่ต้องการเหล่านี้
- ทักษะในการเข้าถึง (access) อย่างรวดเร็ว
และรู้แหล่ง
- ทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือ
- ทักษะในการใช้อย่างสร้างสรรค์
ทักษะด้านสื่อ (Media Literacy
Skills)
เป็นทักษะสองทางคือ ด้านรับสารจากสื่อ
และด้านสื่อสารออกไปยังผู้อื่นหรือสาธารณะหรือโลกในวงกว้าง เนื่องจากยุคนี้เป็นยุค
media ๒.๐ - ๓.๐ คนในศตวรรษที่ ๒๑
ต้องมีความสามารถใช้เครื่องมือสร้างสื่อ และสื่อสารออกไปได้หลากหลายทาง เช่น
วิดีโอ (video) ออดิโอ (audio), พอดคาส์ท (podcast) เว็บไซต์ (website)
เป็นต้น
ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Literacy)
จุดที่สำคัญคือ ทั้งสารสนเทศ สื่อ
และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปลี่ยนแปลงพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ครูตามเทคโนโลยีให้ทันได้ยากและยากที่ครูจะตามเทคโนโลยีให้ทัน
จึงต้องมีกลไกช่วยเหลือครูอย่างเป็นระบบ และครูก็ต้องหมั่นเรียนรู้
ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่ข้อปฏิบัติตายตัว
เป็นเพียงแนวคิดและตัวอย่างเท่านั้น ครูเพื่อศิษย์สามารถใช้ความสร้างสรรค์ของตนเอง
และการเรียนรู้ร่วมกันในเครือข่ายครูเพื่อศิษย์ ออกแบบการเรียนรู้ที่ดีกว่า
เหมาะสมกว่าและต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของเด็ก บริบทของชุมชน สังคม
และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ทักษะด้านความเป็นนานาชาติ
ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกทักษะด้านความเป็นนานาชาติให้แก่ศิษย์ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นนานาชาติให้แก่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยด้วย
ปัจจุบันเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนั้นจะช่วยให้ครูสามารถออกแบบการเรียนรู้แก่ศิษย์
ให้มีทักษะความเป็นนานาชาติได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีครูชาวต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีนักเรียนจากต่างชาติต่างภาษามาเรียนที่โรงเรียน
และยังเอาชนะข้อจำกัดที่เด็กไม่มีเงินสำหรับใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางไปต่างประเทศได้ด้วย
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต
ทักษะอาชีพและทักษะชีวิตนั้นจะต้องเรียนตั้งแต่ชั้นประถม
(หรืออนุบาล) ไปจนถึง ม. ๖ และมหาวิทยาลัย โดยเรียนตามพัฒนาการของสมอง
ครูจะต้องเรียนรู้วิธีการออกแบบการเรียนรู้แบบ PBL ให้แก่ศิษย์แต่ละกลุ่มอายุและตามพัฒนาการของสมองเด็กแต่ละคน
เพราะทักษะกลุ่มนี้สอนไม่ได้ เด็กต้องเรียนเอง
และครูยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นในการคิดค้นหาวิธีออกแบบการเรียนรู้ วิธีกระตุ้นและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของทีมงานและศิษย์
รวมถึงวิธีชวนกันถอดบทเรียนหลังงานสำเร็จ
เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งขึ้น
การทำงานของครูเพื่อศิษย์ในสภาพนี้จะยิ่งน่าสนุกและท้าทายยิ่งขึ้น
แนวคิดการเรียนรู้สำหรับครูเพื่อศิษย์
“จงอย่างชมความสามารถให้ชมความมานะพยายามเพื่อทำให้สิ่งที่มีคุณค่าคือความมานะพยายาม
ความสำเร็จที่ได้มาจากความบากบั่นเอาชนะอุปสรรคจงอย่าชื่นชมความสำเร็จที่ได้มาโดยง่าย”
สมดุลใหม่ในการทำหน้าที่ครูเพื่อศิษย์
ในยุคเดิม ครูสอนเด็กเพื่อให้สอบผ่าน แนวคิดนี้เป็นของศตวรรษที่ ๒๐ หรือ ๑๙
ด้วยซ้ำ แต่เป้าหมายของการเรียนในศตวรรษที่ ๒๑
คือปูพื้นฐานความรู้และทักษะเอาไว้สำหรับการมีชีวิตที่ดีในภายหน้า
ลักษณะของการเรียนรู้จึงเป็นสมดุลระหว่างคุณลักษณะ พลังการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ ได้แก่
งานที่เน้นความรู้เครื่องมือดิจิตัล วิถีชีวิต ผลการวิจัยด้านการเรียนรู้
และความต้องการทักษะในการดำรงชีวิตสมัยใหม่ ได้แก่ การแก้ปัญหา ความสร้างสรรค์
และสร้างนวัตกรรม การสื่อสาร การร่วมมือ ความยืดหยุ่น และอื่น ๆ
พลังเหล่านี้เรียกร้องให้การเรียนรู้ในโรงเรียนต้องให้น้ำหนักซีกขวามากขึ้นเรื่อย
ๆครูเพื่อศิษย์ต้องมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาว่า
การเรียนการสอนต้องไม่ใช่เรื่องความรู้ของตน แต่เป็นเรื่องการคิดและทักษะของศิษย์
จุดเน้นต้องเปลี่ยนจากการสอนของครูไปสู่การเรียนรู้ของศิษย์
สอนน้อย เรียนมาก
สอนน้อย เรียนมาก (Teach Less,
Learn More) เป็นอุดมการณ์ด้านการศึกษาของประเทศสิงคโปร์
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าครูทำงานน้อยลงแต่ความจริงกลับต้องทำงานหนักขึ้น
เพราะต้องคิดหาวิธีให้นักเรียนเรียนได้มากขึ้น คือ ครูสอนน้อยลง
แต่หันไปทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้
ชักชวนนักเรียนทบทวนว่าในแต่ละกิจกรรมของการเรียนรู้ นักเรียนได้เรียนรู้อะไร
และอยากเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีก นอกจาก สอนน้อย คือ สอนเท่าที่จำเป็น
ครูต้องรู้ว่าตรงไหนควรสอน ตรงไหนไม่ควรสอนเพราะเด็กเรียนได้เอง
ครูออกแบบกิจกรรมให้เด็กเรียนจากกิจกรรม (PBL-Project-Based Learning) แล้วชวนเด็กทบทวนไตร่ตรอง (reflection หรือ AAR ) ว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง
และยังไม่ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ครูจะเข้าใจอัตราความเร็วของการเรียนรู้ของเด็กที่หัวไวไม่เท่ากัน
และที่สำคัญยิ่งคือ ให้เด็กบอกว่าอยากเรียนรู้อะไรบ้าง
เพื่อให้ครูนำมาออกแบบการเรียนรู้ต่อนักเรียนจะรู้จากพฤติกรรมของครูว่า
ครูเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายคนและเอาใจใส่อนาคตของเด็กแต่ละคน
ต้องการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้เพื่ออนาคตของศิษย์ทุกคนในสภาพการเรียนเช่นนี้
นักเรียนจะตื่นตัวและต้องเตรียมตัวเรียนตลอดเวลา
จะไม่มีเวลาเฉไฉไปทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควร
รวมทั้งครูต้องออกแบบให้บรรยากาศการเรียนรู้ของชั้นหรือของกลุ่มมีลักษณะควบคุมพฤติกรรมกันเอง
สมาชิกทุกคนได้เรียนรู้ร่วมกัน
ต้องช่วยกันทำกิจกรรมให้สำเร็จโดยไม่มีคนถูกทอดทิ้งหรือแยกกลุ่ม
เป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนมีบทบาท (student engagement) สูงมาก หรืออาจเรียกว่าเป็นการเรียนแบบที่ผู้เรียนกำหนด (Learners-Directed
Learning) ในสภาพที่ครูใช้เวลาสอนน้อย
ใช้เวลาออกแบบการเรียนรู้ และทบทวนผลการเรียนรู้มาก
เท่ากับครูต้องเรียนรู้วิธีทำหน้าที่ครูของตนอยู่ตลอดเวลา
เพราะครูไม่รู้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ศิษย์เรียนรู้ได้มากนั้นทำอย่างไร
ครูจึงต้องจับกลุ่มกัน ลปรร. (แลกเปลี่ยนเรียนรู้) จากประสบการณ์ตรงของตน
ในกิจกรรมที่เรียกว่า PLC ซึ่งก็คือ Community
of Practice ของครูนั่นเอง
การเรียนรู้และการสอนในศตวรรษที่ ๒๑
เพราะเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของการเรียนรู้
และการสอนในศตวรรษที่ ๒๑ คือ คำถามกับปัญหา ครูเพื่อศิษย์ต้องฝึกเป็นนักตั้งคำถาม
และนักตั้งปัญหาเพื่อสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ และที่สำคัญต้องไม่ตั้งเป้าว่า
ต้องได้คำตอบที่ถูก ใครตอบผิดถือว่าใช้ไม่ได้
ครูที่ประพฤติตัวบูชาคำตอบที่ถูกเป็นพระเจ้า
ไม่ใช่ครูเพื่อศิษย์แต่เป็นครูเพื่อคำตอบที่ถูกต้อง การเดินทางจากคำตอบที่ผิดไปสู่คำตอบที่ถูกต้องคือ
การเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ต้องยึดการเรียนรู้ของศิษย์เป็นพระเจ้าหรือเป้าหมายของชีวิต